นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เปิดเผยว่า ดีป้าได้ร่วมกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส, บริษัท พีเอ็มเอชโฮลดิ้ง จำกัด (POMO) กลุ่มผู้ประกอบการบริหารจัดการท่าเรือ และสมาคมธุรกิจเรือยอชต์ไทย จัดทำ “โครงการกักตัววิถีใหม่บนเรือยอชต์-Digital Yacht Quarantine” สำหรับนักท่องเที่ยว 14 วัน เพื่อให้การควบคุม การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีประสิทธิภาพ ด้วยสายรัดข้อมือติดตามสุขภาพอัจฉริยะ ผ่านเทคโนโลยี NB-IoT (NB-IoT Wristband Tourist Tracking)

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวกลุ่มเศรษฐีล่องเรือยอชต์มาเที่ยวทะเลอันดามัน และต้องกักตัว 14 วัน โดยหมอ-พยาบาลต้องนั่งเรือเล็กไปตรวจสอบอุณหภูมินักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือห่างออกไป 5-10 กิโลเมตร ใช้เวลานานและเพิ่มความเสี่ยงให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทางดีป้า เอไอเอสและพันธมิตรจึงได้ร่วมกันเปิดบริการการกักตัววิถีใหม่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมความสะดวก โดยให้นักท่องเที่ยวใส่สายรัดติดตามสุขภาพ ตรวจสอบว่านักท่องเที่ยวอยู่ในโลเกชันที่กำหนด อุณหภูมิร่างกาย จังหวะหัวใจ ความดันปกติดี เป็นเวลา 14 วัน โดยข้อมูลของนักท่องเที่ยวจะถูกส่งผ่านโครงข่ายของเอไอเอส ซึ่งกระจายสัญญาณครอบคลุมทะเลอันดามันทั้งหมด

นางสาวตัญญุตา สิงห์มณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย แปซิฟิค ซุปเปอร์ยอชท์ จำกัด ตัวแทนสมาคมธุรกิจเรือยอชต์ไทย (TYBA) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ สูญเสียรายได้มากถึง 50-60% เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากเรือยอชต์ต่างชาติ การกักตัววิถีใหม่โดยใช้เทคโนโลยีในครั้งนี้ จะช่วยให้คนในธุรกิจเรือยอชต์ได้กลับมามีงานทำ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มโครงการ Yacht Quarantine ในเดือน ต.ค.2563 มีสถิติการติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์ และคาดการณ์ว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยเรือยอชต์ประมาณ 100 ลำ จำนวนนักท่องเที่ยว 300-500 คน.