ช่วงกันยายน - ตุลาคมของทุกปีเป็นช่วงที่หลายคนแฮปปี้เป็นพิเศษเพราะมี "ขนมไหว้พระจันทร์" อร่อยๆ จากหลายแบรนด์ทยอยทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาจำหน่ายในช่วงสั้นๆ เพียง 2-3 เดือนต่อปีเท่านั้น ถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล "ไหว้พระจันทร์" หรือ เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ของพี่น้องชาวแดนมังกร
สำหรับปีนี้ "วันไหว้พระจันทร์" ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ก่อนจะถึงวันไหว้ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ อยากพาคุณไปรู้จักที่มาและประวัติศาสตร์ของเทศกาลนี้ให้มากขึ้น
ความเป็นมาของเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้น ถาวร สิกขโกศล ผู้เชี่ยวชาญด้านประเพณีจีนกล่าวว่า มีที่มาจากประเพณีไหว้พระจันทร์ และเป็นประเพณีเซ่นสรวงทางการเกษตรประจำฤดูสารทของจีนโบราณ โดยเป็นประเพณีนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องจาก "วันสารทจีน" เนื่องจากเป็นช่วงที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตของปีนั้นๆ เสร็จสิ้น และใช้ผลผลิตแรกที่ได้นั้นไปไหว้บรรพบุรุษในวันสารทจีนก่อน
ถัดมาอีกเดือนหนึ่งก็จะเป็นการเซ่นไหว้และเทศกาลเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวผลผลิตใหม่ โดยเลือกเอา "คืนจงชิว" กลางเดือนแปดให้เป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลอง เพราะเป็นคืนวันเพ็ญที่ดวงจันทร์แจ่มกระจ่างงามกว่าวันเพ็ญเดือนอื่นๆ และกลายมาเป็นประเพณีไหว้พระจันทร์ในที่สุด
วันไหว้พระจันทร์ของทุกปีจะตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจีน ส่วนปฏิทินสากล "วันไหว้พระจันทร์" ปีนี้ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เทศกาลไหว้พระจันทร์ (Mid Autumn Festival) รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งในภาษาจีนคือ "จงชิวเจี๋ย" หมายถึง เทศกาลช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่พระจันทร์เปล่งแสงสวยงามที่สุด เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นจากประเพณีเก่าแก่ของชาวจีน และถือเป็นเทศกาลใหญ่รองจากตรุษจีนสำหรับชาวจีนในทุกท้องถิ่น ปัจจุบันเทศกาลนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก
เหตุผลที่ชาวจีนมีประเพณีไหว้พระจันทร์นั้น ก็เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาและรำลึกถึงคุณงามความดีของเทพี "ฉางเอ๋อ" แล้วฉางเอ๋อเป็นใคร? มีตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่า
ในยุคหนึ่งของแผ่นดินจีน มีราชาโฮ่วอี้ปกครองบ้านเมือง พระองค์มีพระชายานามว่า "ฉางเอ๋อ" ครั้งหนึ่งมีพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน 10 ดวง เดือดร้อนชาวโลกเป็นอันมาก ราชาโฮ่วอี้จึงขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุนแล้วใช้ธนูยิงอาทิตย์ดับไป 9 ดวง ทำให้ได้รับการแซ่ซ้องมีผู้คนมาขอเรียนวิชาธนูมากมายรวมถึง "เฝิงเหมิง" ผู้มีจิตใจชั่วร้ายด้วย
ต่อมาโฮ่วอี้ได้ยาอายุวัฒนะจากผู้วิเศษท่านหนึ่ง เฝิงเหมิงรู้เข้าจึงฉวยโอกาสที่โฮ่วอี้ไม่อยู่บุกเข้าวังไปชิงยาจากฉางเอ๋อ แต่นางไม่ยอมและกินยาอายุวัฒนะเสียเอง ผลจากการกินยาวิเศษดังกล่าว ทำให้ร่างของนางล่องลอยไปถึงดวงจันทร์ กลายเป็นเทพีสถิตบนดวงจันทร์
ภาพวาดพระนาง “ฉางเอ๋อ” เทพีแห่งดวงจันทร์ โดย Ren Shuai Ying (1955)
พอราชาโฮ่วอี้กลับมาและรู้ข่าวนี้เข้า ก็ลงมือกำจัดเฝิงเหมิงจนตายไป แต่ก็ไม่สามารถนำฉางเอ๋อกลับมาจากดวงจันทร์ได้ จากนั้นพระองค์ก็ได้แต่เศร้าโศกคิดถึงพระชายา "ฉางเอ๋อ" เสมอมา โดยเฉพาะวันเพ็ญเดือนแปดที่ดวงจันทร์งามกระจ่าง ราชาโฮ่วอี้จึงจัดเครื่องเซ่นบูชาพระจันทร์รำลึกถึงฉางเอ๋อ
นอกจากสนี้ยังมีอีกหนึ่งตำนาน เล่าแตกต่างออกไปว่า หลังจากราชาโฮ่วอี้ได้ยาอายุวัฒนะมาก็นำมาเก็บไว้ และย่ามใจว่าตนเองกำลังจะเป็นอมตะ จากที่เคยเป็นกษัตริย์ที่ดีก็กลายเป็นคนชั่วร้าย เบียดเบียนข่มเหงประชาชน ฉางเอ๋อกลัวชาวบ้านจะเดือดร้อนหากโฮ่วอี้เป็นอมตะ นางจึงชิงยาอายุวัฒนะมาจากพระราชาแล้วกินเสียเอง จากนั้นร่างของนางก็ลอยไปอยู่บนดวงจันทร์ ผู้คนจึงรำลึกถึงความดีงามของเธอด้วยการไหว้พระจันทร์กลางเดือนแปดสืบมา
ในวันไหว้พระจันทร์ของทุกปี ชาวจีนจะนิยมทำ "ขนมไหว้พระจันทร์" แค่เฉพาะช่วงนี้ของปีเท่านั้น เพื่อใช้ในการไหว้พระจันทร์ และหากมองในมิติทางสังคมและวัฒนธรรมแล้ว พูดได้ว่าขนมไหว้พระจันทร์เป็นขนมที่เชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างดีอีกด้วย เพราะทุกบ้านต้องลุกมาทำขนมนี้ด้วยกันเป็นกาลเฉพาะ (คล้ายๆ งานบุญใหญ่ของชาวไทยที่แต่ละครอบครัวจะลุกขึ้นมาทำกับข้าวไปถวายพระที่วัด)
เมื่อทำเสร็จก็จะนำไปแจกจ่ายให้พี่น้องในครอบครัว ญาติๆ และเพื่อนบ้าน แล้วมานั่งล้อมวงกินขนมไหว้พระจันทร์ ได้ออกมาพบปะ พูดคุย ในค่ำคืนวันเฉลิมฉลองและใช้เวลาแห่งความสุขด้วยกัน
ไม่ใช่เพียงความสำคัญในมิติทางสังคมของครอบครัวชาวจีนแล้ว "ขนมไหว้พระจันทร์" ยังมีความสำคัญในมิติทางประวัติศาสตร์ของแผ่นดินแดนมังกรด้วย โดยมีตำนานเกี่ยวกับขนมไหว้พระจันทร์เล่าว่า
ครั้งหนึ่ง "แม่ทัพหลี่จิ้ง" ชนะศึกกลับมาเฝ้ากษัตริย์ "พระเจ้าถังเกาจู่" (ครองราชย์ พ.ศ. 1161-1169) ในท้องพระโรงยามราตรีคืนวันเพ็ญ พอดีมีพ่อค้าชาวธิเบตนำ "ขนมเย่ว์ปิ่ง" (ขนมไหว้พระจันทร์) ที่มีลวดลายสวยงามมาถวาย เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรขนมนี้ก็ทรงโสมนัสอย่างยิ่ง และทรงดำรัสชี้ไปที่เดือนเพ็ญว่า ต้องชวนพระจันทร์ชิมขนมนี้ด้วย แล้วแบ่งขนมนั้นพระราชทานขุนนางทุกคน จึงเกิดประเพณีกินขนมพระจันทร์คืนเดือนแปดตั้งแต่นั้นมา
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตำนานเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งเป็นยุคสมัยที่มองโกลเข้ามาสู้รบจนชนะและเข้ายึดครองแผ่นดินจีน สร้างความเดือดร้อนและความเกลียดชังไปทั่ว ต่อมามีชาวจีนผู้หนึ่งลุกขึ้นมาเป็นผู้นำต่อต้านมองโกล หวังรวบรวมกำลังชาวจีนขึ้นสู้ราชวงศ์ต่างเผ่า จึงคิดอุบายเขียนข้อความนัดหมายใส่กระดาษซ่อนไหว้ใน "ขนมไหว้พระจันทร์" แจกจ่ายไปในหมู่ชาวจีน เรียกว่าเป็น "ขนมส่งสาร" ในการรบก็คงไม่ผิดนัก
หลังจากชาวจีนกลุ่มผู้ต่อต้านมองโลกได้รับสารนั้นแล้ว เมื่อถึงค่ำคืนวันเพ็ญกลางเดือนแปดหลังกินขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ ทุกครอบครัวจึงคว้าอาวุธที่หาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับชาวมองโกล และสามารถโค่นล้มราชวงศ์หยวนได้สำเร็จ
--------------------
อ้างอิง :
บทความ “เทศกาลไหว้พระจันทร์ : ความกลมเกลียวของชาติ-ครอบครัว”. เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. ถาวร สิกขโกศล.